The Florida Project แดน (ไม่) เนรมิต

หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของเด็กหญิง “มูนนี่” เด็กสาวที่เติบโตที่หอพักเล็กๆแถวๆ Walt Disney World กับแม่วัยรุ่นผู้เป็น Single Mom หนังจะพาเราไปดูชีวิตของมูนี่ ว่าอยู่ยังไง เติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน และอะไรผลักดันให้เด็กสาวมีพฤติกรรม กระทำและคำพูดแบบนี้

หนังเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านมุมมองของเด็กตัวเล็กๆที่น่าจะอายุไม่เกิน7ขวบ หนังมันเล่าเรื่องด้วยความรื่นรมย์ ปนอารมณ์ขันนิดๆ แต่เนื้อแท้จริงๆนั้นกลับแฝงไปด้วยความจริง ความจริงเกี่ยวกับชีวิต ความเป็นอยู่ สภาพสังคม ที่มันย่ำแย่ขัดกับสีสันฉูดฉาดของสภาพอาคารบ้านเมือง มันเป็นความขัดกันที่ดูลงตัวสุดๆ จนหนังมันเริ่มมีความจริงเข้าคืบคลานไปสู่ชีวิตของเด็ก และสุดท้ายมันก็จบด้วยใจที่แตกสลาย

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของ Sean Baker ผู้เป็นทั้ง ผู้กำกับ มือเขียนบท และ คนตัดต่อ ของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเคยมีผลงานอันเป็นที่ฮือฮาในหมู่คนดูหนังจากเรื่อง Tangerine เมื่อปี 2015 เพราะว่าหนังทั้งเรื่องนั้นผู้กำกับได้เลือกถ่ายทำด้วยวิธีการใช้ iPhone 5s ถ่ายทำทั้งเรื่อง ส่วนนักแสดงก็แทบจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ไม่เคยผ่านการแสดงมาซักคน ที่ดูพอจะมีชื่อเสียงให้ทุกคนจำได้ก็จะมีแต่ Willem Dafoe ที่เคยแสดงเป็น Green Goblin จาก Spider-Man ปี 2002

 

ความรู้สึกของเราที่หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้…

  • ชอบผู้กำกับที่เล่าเรื่องเก่ง เขาสามารถเล่าเรื่องของคนธรรมดาๆคนหนึ่งให้มันดูมีสีสัน น่าสนใจ และชวนติดตาม ที่ดีคือมันทำให้เราเพลิดเพลินจน2ชั่วโมงของหนังมันผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
  • ชอบการเลือกใช้สีของสถานที่ สีของภาพ ที่มันขัดกับเนื้อเรื่อง เพราะทุกสถานที่ในเรื่องมันมีความสีสันสดใส ดูเป็นเมืองแห่งความสุข แต่ตัวเนื้อเรื่องจริงๆมันกลับไม่ได้สดใสเหมือนเมืองที่พวกเข้าอาศัยอยู่ มันมีแต่ความจริงที่อยู่ในบรรยากาศสดใสเฉยๆ
  • เราชอบแนวคิดของเรื่องนี้ที่ให้เรื่องเกิดเหตุการณ์ในเมืองนี้เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่ตั้งของ Walt Disney World มันเป็นโลกแห่งความฝัน มันคือเมืองแห่งความสุข เมืองแห่งเทพนิยาย แต่ภายนอกมันก็คือโลกแห่งความจริงที่มันไม่ได้สวยหรูเหมือนในนิยาย แค่เมืองนี้มันถูกปกคลุมด้วยเงาของ Walt Disney World เฉยๆ มันเลยจำเป็นต้องมีภายนอกที่สดใสแต่ภายในจริงๆกลับเป็นอะไรที่ตรงกันข้าม
  • อีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือการแสดงของนักแสดงหลักของเรื่องนี้ น้องมูนนี่นั้นเหมือนไม่ได้แสดงอ่ะ เหมือนน้องเกิดมาแล้วเป็นเด็กอย่างงี้เลย เราโคตรเชื่ออ่ะว่าน้องเป็นคนอย่างงี้ จนเราไปดูน้องรับรางวัล น้องไปออกทีวีน้องน่ารักมาก น้องพูดเก่งเหมือนในหนังเลยแค่ไม่เกรี้ยวกราดเท่าในหนังเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆ เราว่าในอนาคตน้องต้องรุ่ง มีงานดีๆ รางวัลเพียบแน่นอน
  • อีกนักแสดงที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Willem Dafoe ที่มาในบทของผู้จัดการของโรมแรมนี้ ดูเป็นบทที่ไม่ต้องเล่นอารมณ์ดราม่าอะไรมากมาย แต่เป็นบทที่ต้องเล่นเป็นคนธรรมดาปกติทั่วไป ซึ่งเราว่ามันยากนะ แต่แกก็ทำออกมาได้โคตรดี ทุกการแสดงของแกมันดีทุกครั้ง ไม่ว่าแกจะดุคน หรือตัดเตือนหนักขนาดไหน แกก็ดูเป็นคนใจดีอยู่ดี แกแสดงแบบให้เห็นชัดๆเลยว่าถึงจะดุ จะเกรี้ยวกราดแกก็แฝงมาด้วยความหวังดีทุกครั้ง เราโคตรเชื่อ และชอบแกมาก

 

สรุป

เรารักหนังเรื่องนี้มาก แบบจบแล้วมันยังอึ้ง มันยังสะเทือนใจจนไม่อยากรีบลุกไปจากโรงหนังเลย อยากซึมซับบรรยากาศ มันเป็นหนังที่ดีมาก เราแนะนำแรงๆเลย อยากให้ทุกคนได้ดูจริงๆ ถึงมันจะเป็นหนังที่เด็กเป็นตัวหลักแต่เราก็ไม่ได้รำคาญเด็กเลยนะ (เราเป็นคนไม่ชอบเด็กมาก ยิ่งเป็นเด็กดื้อแล้วไม่ค่อยฟังผู้ใหญ่ด้วยนะ เราจะเกลียดมาก) ถึงแม้ต้นๆเรื่องเราจะแอบรำคาญบ้างก็เถอะ แต่ดูไปซักพักเราจะรักน้อง อยากเอาใจช่วยและสงสารน้อง (จากใจคนเกลียดเด็กดื้อ ฮ่าๆ) หนังมันสะท้อนปัญหาสังคม และเสนอมาได้แบบโคตรจริงๆ เราชอบมาก บทดี แสดงๆดี ดีทุกอย่าง ไปดูเถอะ เชียร์แรงๆ

ปล.ที่โคราชน่าจะฉายถึงวันที่ 7 ก.พ. 2561 นี้เอง ใครอยากดูรีบๆนะ แนะนำๆ

 

IMDb : 7.8/10

Rotten Tomatoes : 96%

 

รูปภาพจาก : https://www.facebook.com/TheFloridaProject/


Comments are closed.

Check Also

รีวิว Be With You (2018) | ภาพยนตร์รีเมคจากประเทศญี่ปุ่นเอากลับมาทำใหม่ในสไตล์เกาหลี เรียกน้ำตาผู้ชมได้แทบทั้งโรง

Be With You : ปาฏิหาริย์ สัญญารัก ฤดูฝน   เหมือนกั … …