เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าเหตุการณ์รถบรรทุก 10 ล้อพุ่งชนกระทิงเพศผู้อายุประมาณ 10-12 ปี หนักประมาณ 1.5 ตัน ขณะวิ่งตัดหน้ารถ ทำให้กระทิงบาดเจ็บ เหตุเกิดบนถนนมิตรภาพ สายเก่า ข้างค่ายทหาร แผนกส่งเสบียง ที่ 5 กองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก กม.7 ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ต่อมากระทิงวิ่งหนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าห่างจุดเกิดประมาณ 100 เมตร เจ้าหน้าที่ทหาร กู้ภัย หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฝ่ายปกครอง กลุ่มอนุรักษ์ ระดมกำลังติดตามก่อนยิงยาสลบ และนำกระทิงส่งไปรักษา ก่อนขนย้ายไปปล่อยคืนธรรมชาติ บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯเขาใหญ่ ตะเคียนงาม ขญ.3 ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่และทีมงานสัตวแพทย์ว่ากระทิงตายแล้วตั้งแต่ช่วงกลางคืน โดยสัตวแพทย์ได้ผ่าซากพิสูจน์การตาย ก่อนนำรถแบ็กโฮขุดหลุมลึกประมาณ 3 เมตร เพื่อฝังซากกระทิงบริเวณดังกล่าวในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นายครรชิต ศรีนพวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่หน่วยตะเคียนงามที่เฝ้าดูอาการตลอดทั้งคืนว่า กระทิงตาย ซึ่งตนไม่ทราบว่าตายเพราะบอบช้ำจากรถชนหรืออย่างอื่น ต้องสอบถามสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษาจะทราบสาเหตุการตาย นายชูเกียรติ ราชสิทธิ์ นายกสมาคมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเขาใหญ่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สมาคมร่วมกับ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชน ตามแนวเขตอุทยานฯเขาใหญ่ ด้าน ต.หมูสี อ.ปากช่อง จัดกิจกรรมช่วยเหลือสัตว์ป่า เช่น ช้าง กระทิง เก้งกวาง ในพื้นที่เขาใหญ่ โดยจะพบสัตว์ได้รับบาดเจ็บจากการลอบยิง ลอบทำร้ายจากมนุษย์ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่การเข้ารักษาสัตวแพทย์ต้องใช้วิธียิงยาสลบเพื่อความปลอดภัยจากการถูกทำร้าย แต่ในหลังสัตว์ป่าสลบและได้รับการรักษา มักพบว่าสุดท้ายแล้วสัตว์ตายทุกตัว “ผมไม่โทษใคร สัตวแพทย์ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว หากไม่ทำการรักษาจะถูกตำหนิ แต่ที่บาดเจ็บไม่ต้องยิงยาสลบก็ทำการรักษาได้เลย แต่มุมมองของผม เห็นว่าสาเหตุการตายกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บแล้วยิงยาสลบนั้น เพราะการบาดเจ็บร่างกายจะอ่อนแอแล้ว เมื่อได้รับยาสลบจะกี่โด๊บ ผมไม่มีความรู้แต่อาจมีผลต่อสภาพการเต้นของหัวใจ ผมไม่โทษใครเพียงเป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้น ผลผ่าพิสูจน์สาเหตุการตายอย่างไรเป็นเรื่องของสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” นายชูเกียรติ กล่าว แหล่งข้อมูล : มติชนออนไลน์
