วันที่ 4 พฤษภาคม 2560 ที่ห้องประชุมมูลนิธิหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายธนพล จันทรนิมิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมนายวีรศักดิ์ ศรีโสภา ท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา ได้เรียกผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือการบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ โดยมีนายกพร้อมปลัดและผู้อำนวยการกองช่างและสาธารณสุข สังกัด 29 อปท. ในพื้นที่อำเภอเมือง, เฉลิมพระเกียรติ และบางส่วนใน อ.โชคชัย, จักราช, ขามทะเลสอ และโนนสูง ซึ่งนำขยะไปทิ้งที่ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยที่ 3 อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา นายเนติวิทย์ เริงสุขพิพัฒนะ ผู้อำนวยการส่วนช่างสุขาภิบาล ทน.นครราชสีมา รับผิดชอบศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแห่งที่ 3 เปิดเผยว่า ในแต่ละวัน อปท. 35 แห่ง รวมทั้ง ทน.นครราชสีมา ขนขยะปริมาณกว่า 400 ตัน ส่งไปกำจัดที่ศูนย์ฯ ซึ่งมีความสามารถกำจัดขยะถูกหลักวิชาการได้ไม่เกิน 200 ตันต่อวัน ทำให้มีขยะตกค้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนานร่วม 7 ปี ซึ่ง ทน.เคยทำหนังสือเวียนแจ้งให้ อปท.แต่ละแห่งจัดกิจกรรมลดขยะต้นทางให้ได้เฉลี่ยวันละร้อยละ 10 เพื่อลดปริมาณขยะปลายทาง แต่การดำเนินการไม่ประสบผลสำเร็จ ล่าสุดมีขยะอยู่ในบ่อฝังกลบขนาดความลึก 10 เมตร และสูงกว่า 10 เมตร รวมปริมาณกว่า 4.4 แสนตัน จนเต็มพื้นที่ใช้งาน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในละแวกพื้นที่บ่อขยะ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในเขต ต.หนองบัวศาลา ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จนผจญกับกลิ่นเหม็นและน้ำเสีย ทน.พยายามแก้ปัญหาโดยนำน้ำยาชีวภาพและน้ำส้มควันไม้ไปฉีดพ่นทุกวัน วันละ 3 รอบ รวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากการต่อเติมบ่อขยะให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเหตุเพลิงไหม้และน้ำเสีย โดยเฉพาะกลิ่นเหม็นที่โชยออกไปตามกระแสลม จึงขอปิดบ่อขยะชั่วคราวจนกว่าจะปรับปรุงฟื้นฟูบ่อขยะ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที เนื่องจากผู้บริหาร อปท.ได้แสดงความคิดเห็นถึงผลกระทบ เนื่องจากไม่มีพื้นที่รองรับขยะที่เกิดขึ้นต่อวันกว่า 130 ตัน จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง อาจต้องมีการรวมตัวแสดงความเดือดร้อน โดยขนขยะไปทิ้งในที่บางแห่ง เพื่อให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเร่งหาทางออกให้ชัดเจน ด้านรอง ผวจ.นครราชสีมาได้สรุปในที่ประชุม โดยให้ ทน.ทบทวนแนวทางดังกล่าว และท้องถิ่นจังหวัดเร่งหาพื้นที่รองรับขยะ เบื้องต้นได้นัดเจราจากับบริษัท ทีพีไอ จำกัด เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แหล่งข้อมูล : มติชนออนไลน์
